จริงหรือ โควิดสายพันธุ์โอไมครอนไม่ลงปอด เหมือนเป็นไข้หวัด
เขียนเมื่อวันที่ 01/02/2022
โควิดสายพันธุ์โอไมครอน ความรุนแรงอยู่ที่ระดับไหน
จากสถานการณ์ COVID-19 ที่พบการระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดทางด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศพบเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ B.1.1.529 หรือ โอไมครอน (Omicron) เป็นประเภทสายพันธุ์ระดับที่น่ากังวล (Variants of Concern: VOC) พบครั้งแรกทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกาใต้ ประเทศบอตสวานา ช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2021 และในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดไปยังหลายประเทศทั่วโลก อาทิ โมซัมบิก ซิมบับเว เบลเยียม ฮ่องกง อิสราเอล ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เยอรมนี แคนาดา เกาหลีใต้ รวมถึงประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่กำลังระบาดรองจากเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้าที่มีการระบาดก่อนหน้า
โควิดสายพันธุ์โอไมครอน เกิดจากอะไร
เชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ B.1.1.529 หรือ โอไมครอน เกิดจากการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด SARS-CoV-2 ที่มีการกลายพันธุ์ของยีนมากถึง 50 ตำแหน่ง โดย 32 ตำแหน่งเกิดขึ้นบนโปรตีนหนามแหลม (Spike Protein) เป็นโปรตีนที่ไวรัสใช้ในการเข้าสู่เซลล์ร่างกายมนุษย์ ซึ่งพบมากกว่าสายพันธุ์เดลตาถึง 2 เท่า และการกลายพันธุ์บริเวณตัวรับบนผิวเซลล์ (Receptor-binding Domain) พบว่าเชื้อไวรัสสามารถใช้จับยึดกับเซลล์ของมนุษย์ได้ถึง 10 ตำแหน่ง เมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลตาที่พบเพียง 2 ตำแหน่งเท่านั้น
โควิดสายพันธุ์โอไมครอน
โควิดสายพันธุ์โอไมครอน อันตรายอย่างไร
เนื่องจากพบการกลายพันธุ์ของยีนที่มากกว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ ที่มีการระบาดที่ผ่านมา ทำให้องค์การอนามัยโลกจัดประเภทเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนว่า อยู่ในสายพันธุ์ระดับน่ากังวลด้วยข้อสันนิษฐานของเชื้อไวรัส ดังนี้
- เชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนจะสามารถแพร่กระจายเชื้อได้อย่างรวดเร็ว (เร็วกว่าสายพันธุ์เดลตา)
- สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้เร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากมีการลอยตัวในอากาศได้นานกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ
- หลบภูมิคุ้มกันได้มากยิ่งขึ้นและมีแนวโน้มในการต้านประสิทธิภาพของวัคซีน ทำให้ถึงแม้จะฉีดวัคซีนครบ 2 โดสก็มีโอกาสติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนได้เช่นกัน
- สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์อื่นมาก่อน มีโอกาสติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนซ้ำได้
- ความรุนแรงของเชื้อยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนจะก่อให้เกิดความรุนแรงเมื่อเปรียบเทียบกับการติดเชื้อจากสายพันธุ์อื่น ๆ รวมถึงเดลตา เบื้องต้นพบว่ามีการรายงานเกี่ยวกับอัตราผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นแต่จำนวนผู้เสียชีวิตนั้นต่ำลง แต่ก็ถือว่าเป็นเชื้อที่มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ หรือโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
โควิดสายพันธุ์โอไมครอนไม่ลงปอดจริงหรือ?
ทางด้านแพทย์หญิงอภิสมัยได้มีการระบุว่า รูปแบบการติดเชื้อของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน เห็นได้ว่าเป็นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบนทำให้ไม่มีลักษณะของเชื้อไวรัสที่ลงปอด หรือหากมีก็จะพบได้ค่อนข้างน้อย
เชื้อไวรัสโควิดโอไมครอน อาการเป็นอย่างไร
สังเกตอาการโควิดสายพันธุ์โอไมครอน
ทางด้านศูนย์ข้อมูล COVID-19 ได้ออกมาเปิดเผยวิธีสังเกตอาการโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ดังนี้
- มีอาการไอ เจ็บคอ
- มีไข้และมีน้ำมูก อาจมีอาการไม่สบายแค่ 1-2 วัน ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีน้ำมูก
- หายใจลำบาก
- รู้สึกปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ
- ผู้ป่วยบางรายได้กลิ่นลดลง บางรายจมูกยังสามารถรับกลิ่นและลิ้นยังรับรสได้ดี
อย่างไรก็ตามทางด้านกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่าผลทดสอบการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ช่วยรับมือโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนได้ดีขึ้น โดยนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยว่าได้มีการทดสอบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่มีการใช้ในประเทศไทย 8 สูตร ได้แก่
- Sinovac-AstraZeneca,
- AstraZeneca 2 เข็ม
- Pfizer 2 เข็ม
- Sinovac-Pfizer
- AstraZeneca-Pfizer
- Sinovac 2 เข็ม ฉีดวัคซีนกระตุ้นด้วย AstraZeneca
- Sinovac 2 เข็ม ฉีดวัคซีนกระตุ้นด้วย Pfizer
- AstraZeneca 2 เข็ม ฉีดวัคซีนกระตุ้นด้วย Pfizer
ผลการทดสอบพบว่าวัคซีนทุกสูตรสามารถจัดการกับเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตาได้ค่อนข้างดี แต่พบผลลัพธ์ที่ลดลงเมื่อทดลองกับสายพันธุ์โอไมครอน ทำให้สอดคล้องกับข้อสันนิษฐานว่าเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนสามารถหลบวัคซีนได้ดีกว่าสายพันธุ์เดลตา โดยเฉพาะการฉีดวัคซีน 2 เข็มระดับภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนั้นมีไม่สูงมากนัก แต่ยังสามารถป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ สำหรับการฉีดเข็มกระตุ้นหรือเข็ม 3 แสดงให้เห็นว่าค่าภูมิคุ้มกันมีความสูงขึ้นอย่างมาก รวมถึงช่วยลดการติดเชื้อ แพร่เชื้อ และลดอาการเจ็บป่วยรุนแรงได้มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามควรป้องกันตนเองให้ห่างไกลความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ ด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อต้องเดินทางออกจากบ้าน หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน หมั่นล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ทำร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ นอนหลับพักผ่อนให้ครบ 6-8 ชั่วโมง และหมั่นออกกำลังกาย รวมถึงการวางแผนดูแลสุขภาพด้วยการเลือกทำประกันภัยสุขภาพที่มีความคุ้มครองที่ครอบคลุมหากเกิดเจ็บป่วยฉุกเฉิน อุ่นใจในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นทั้งในส่วนของค่ารักษาพยาบาล ค่าห้อง รวมถึงเงินชดเชยรายได้จากการเข้าพักรักษาตัว ฮักส์มีกรมธรรม์ประกันภัยสุขภาพที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ยินดีให้คำแนะนำการเลือกทำประกันภัยสุขภาพที่เหมาะกับคุณ สามารถติดต่อผ่าน Facebook: HUGS Insurance หรือทางช่องทางไลน์ @hugsinsurance หรือ โทร 0 2975 5855
อ้างอิงข้อมูล : องค์การอนามัยโลก, vichaivej, กระทรวงสาธารณะสุข, ศูนย์ข้อมูล COVID-19