วิธีขับรถลุยน้ำท่วมให้ปลอดภัย เครื่องยนต์ไม่ดับ
เขียนเมื่อวันที่ 10/07/2021
ขับรถลุยน้ำท่วมอย่างไร ให้รถไม่พัง
พอเข้าสู่ช่วงหน้าฝน ปัญหาฝนตกรถติดคือสิ่งที่หลายคนต้องเผชิญ ยิ่งถ้าวันไหนมีฝนตกหนักสถานการณ์อาจเลวร้ายถึงขั้นมีน้ำรอการระบายตลอดเส้นทางที่ต้องสัญจรผ่าน ทำให้การขับรถลุยน้ำท่วมขังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่ารถยนต์ไม่ได้ออกแบบมาให้ขับในน้ำฉะนั้นผู้ใช้รถควรหลีกเลี่ยงการขับรถลุยน้ำท่วมสูง ด้วยการศึกษาเส้นทางและติดตามข่าวสารก่อนออกเดินทาง แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้หรือเป็นเหตุสุดวิสัย ผู้ใช้รถต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อต้องขับรถลุยน้ำท่วม เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายตามมา วันนี้เรามีวิธีลดความเสี่ยงเมื่อต้องเจอเส้นทางที่เปรียบเสมือนทะเลกลางกรุง เพื่อให้คุณขับผ่านน้ำท่วมได้อย่างปลอดภัยมาแนะนำ
6 สิ่งที่ต้องทำก่อนขับรถลุยน้ำท่วมขัง
- ประเมินระดับน้ำก่อน
ก่อนจะขับรถลุยน้ำควรประเมินระดับน้ำที่ท่วมสูง โดยระดับน้ำท่วมที่สามารถขับรถฝ่าไปได้อย่างปลอดภัย มีดังนี้
- ระดับน้ำ 5-10 เซนติเมตร เป็นระดับน้ำที่ปลอดภัย สามารถขับรถผ่านไปได้ แต่ผู้ขับขี่ไม่ควรใช้ความเร็วสูง เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุถนนลื่น และสูญเสียการควบคุมรถได้
- ระดับน้ำ 10-20 เซนติเมตร แม้มีปริมาณน้ำท่วมขังในระดับหนึ่งแล้ว แต่รถทุกประเภทสามารถขับรถลุยน้ำได้
- ระดับน้ำ 20-40 เซนติเมตร ถือเป็นระดับที่ค่อนข้างเสี่ยงกับรถขนาดเล็กที่มีความสูงจากระดับพื้น 15-17 เซนติเมตร แม้ขับรถลุยน้ำได้แต่อาจทำให้ท่อไอเสียจมน้ำได้
- ระดับน้ำ 40-60 เซนติเมตร เป็นอันตรายกับรถขนาดกลางทุกประเภท แนะนำให้หลีกเลี่ยงการขับลุยน้ำ แต่รถกระบะสามารถขับฝ่าไปได้
- ระดับน้ำ 60-80 เซนติเมตร นี่คือระดับน้ำที่เป็นอันตรายกับรถยนต์ทุกชนิด ไม่ควรฝืนขับรถลุยน้ำเด็ดขาด เพราะน้ำจะไหลเข้าห้องเครื่องยนต์ทำให้เครื่องยนต์ดับ
- ลดความเร็วลงก่อนถึงจุดน้ำท่วม
ควรลดความเร็วเวลารถเคลื่อนที่ผ่านจุดน้ำท่วม เพราะถ้าขับด้วยความเร็วสูงรถอาจเสียการทรงตัวได้ นอกจากนี้ทำให้เกิดคลื่นน้ำสูงและน้ำอาจเข้ามาในเครื่องยนต์หรือภายในรถได้
- ปิดแอร์รถยนต์เมื่อเจอน้ำท่วม
การปิดแอร์รถช่วยลดความเสี่ยงที่จะทำให้น้ำกระจายเข้าห้องเครื่องได้ เพราะใบพัดจากพัดลมจะพัดน้ำ กิ่งไม้ ถุงพลาสติก หรือเศษขยะที่ลอยตามน้ำเข้ามาในห้องเครื่อง ดังนั้นถ้าต้องขับรถลุยน้ำท่วมควรปิดแอร์แล้วเปิดกระจกแทน
- รักษาระยะห่างคันหน้าให้มาก
ควรขับรถทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าประมาณ 50 เมตร เพื่อเพิ่มระยะเบรกเวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน เพราะเวลารถวิ่งฝ่าน้ำประสิทธิภาพในการเบรกจะลดลงไปด้วย นอกจากนี้การขับรถตามคันหน้า ทำให้ผู้ขับขี่รู้ว่ามีหลุมหรือสิ่งกีดขวางหรือไม่
- ลดความเร็วเมื่อต้องขับรถสวนทางกัน
แรงปะทะจากรถที่สวนมาทำให้เกิดคลื่นชนกัน แล้วระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม แม้สถานการณ์ที่ว่าจะเกิดขึ้นไม่นาน แต่ทำให้น้ำกระฉอกเข้ามาสร้างความเสียหายกับเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้าเสียหายได้เช่นกัน
- ใช้เกียร์ต่ำ
นอกจากลดระดับความเร็วของรถยนต์ โดยการเลือกใช้เกียร์ต่ำ อาทิ รถเกียร์ธรรมดา ใช้เกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 และรถเกียร์ออโต้ให้ใช้เกียร์ L หรือ D2 ช่วยให้ไม่ต้องกังวลว่าเครื่องยนต์ดูดน้ำเข้าห้องเครื่อง น้ำเข้าท่อไอเสีย ยังง่ายต่อการเบรกเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินอีกด้วย
วิธีดูแลรถหลังลุยน้ำท่วม เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงรถพัง
เมื่อรถดับกลางน้ำท่วม ควรทำอย่างไร
สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรก คือ ห้ามสตาร์ทเครื่องเด็ดขาด เพราะถ้าคุณพยายามสตาร์ทรถทั้งที่ยังจอดแช่อยู่ในน้ำ อาจทำให้น้ำที่ค้างอยู่ตามท่อหรือกรองอากาศเข้าไปในห้องเครื่องยนต์ได้ ฉะนั้นควรตั้งสติแล้วบิดกุญแจดับเครื่องและปฏิบัติตามนี้
(1) ขอความช่วยเหลือในการเข็นรถหนีน้ำไปที่สูงหรือที่แห้ง
(2) รีบเปิดฝากระโปรงหน้ารถเพื่อตรวจสอบว่า รถดับจากน้ำเข้าระบบกรองอากาศหรือดับจากระบบไฟฟ้าเปียกน้ำ ด้วยการเปิดฝาหม้อกรองอากาศออก เพื่อดูแผ่นกรองว่ายังแห้งอยู่ไหม ถ้ายังแห้งดีอยู่รถก็น่าจะดับจากระบบไฟโดนน้ำแล้วลัดวงจร ซึ่งอาจแก้ไขเพื่อให้เราขับรถกลับบ้านได้
(3) เมื่อรู้สาเหตุแล้วให้แก้ไขเบื้องต้นดังนี้
- ถ้ารถดับเพราะระบบไฟฟ้าให้เป่าไล่น้ำออกไป เช่น ที่ขั้วแบตเตอรี่ ที่บริเวณหัวเทียนให้ถอดจุ๊บยางออกมาเป่าลมให้แห้ง
- กรณีรถดับเพราะน้ำเข้าระบบกรองอากาศหรือเข้าท่อร่วมไอดี แนะนำให้เลือกใช้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินจากบริษัทประกันดีที่สุด
ข้อควรปฏิบัติหลังขับรถลุยน้ำ
- ถ้ารถของคุณยังขับได้หรือเครื่องไม่ดับให้ขับรถไปที่แห้งโดยที่ยังไม่ดับเครื่องยนต์ เพื่อให้ความร้อนของเครื่องยนต์ไล่ความชื้นในห้องเครื่องและไล่น้ำออกจากหม้อพักไอเสียออกไป จากนั้นให้เหยียบเบรกย้ำ ๆ เพื่อไล่น้ำออกจากผ้าเบรก
- ตรวจเช็คว่าน้ำซึมเข้ารถหรือไม่ โดยการเปิดแผ่นยางรองพื้นหรือพรมปูพื้น ถ้าพบคราบน้ำให้รื้อพรมหรือยางปูพื้นออกมาเช็ดและเป่าให้แห้ง แล้วนำรถจอดตากแดด เพื่อป้องกันรถอับชื้น
- ควรรีบล้างรถให้สะอาด เพื่อขจัดคราบสกปรก เศษทราย เศษขยะต่าง ๆ ที่ติดอยู่กับรถและห้องเครื่องออก
- ถ้ายังไม่มั่นใจว่ารถได้ความเสียหายจากการขับลุยน้ำหรือไม่ ให้นำรถเข้าไปเช็คสภาพที่ศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็คเครื่องยนต์ ระบบเบรก และระบบไฟต่าง ๆ
นี่คือวิธีขับรถลุยน้ำท่วมและวิธีดูแลรถหลังลุยน้ำที่เรานำมาฝาก ทุกคนสามารถนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ เพื่อให้ขับรถหน้าฝนอย่างปลอดภัย และอย่าลืมเพิ่มความคุ้มครองด้วยประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1, 2+, 2, 3+ และ 3 เมื่อเจอเหตุการณ์ฉุกเฉินจะได้ขอความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
สำหรับใครที่กำลังมองหาประกันภัยรถยนต์ที่คุ้มครองคุณ 24 ชั่วโมง และบริการเสริมที่พร้อมกว่าใคร ฮักส์มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์หลากหลายแผนให้เลือกตามความต้องการ สามารถสอบถามข้อมูลได้โดยตรงที่ 0 2975 5855