ไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ มีอะไรบ้าง อันตรายไหม

เขียนเมื่อวันที่ 10/07/2021

ไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่ต้องระวัง

รู้หรือไม่ โรคไข้หวัดใหญ่ไม่ได้แพร่ระบาดเฉพาะหน้าฝนเท่านั้น แต่ความจริงไข้หวัดใหญ่เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่มักพบผู้ป่วยโรคนี้ในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาวของทุกปี ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการระบาดขึ้นก็คือความชื้นในอากาศและอุณหภูมิที่เย็นลง ส่งผลให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่อยู่ได้นานขึ้น ที่ผ่านมาหลายคนคิดว่าไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่ไม่อันตราย แต่ถ้ามีอาการแทรกซ้อนหลังป่วยก็มีโอกาสเสียชีวิตได้

ทำความรู้จักโรคไข้หวัดใหญ่ 

เป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซาหรือไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยอาการป่วยคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดธรรมดา ทั้งมีไข้ ไอ มีน้ำมูก คัดจมูก หรือจาม แต่อาการรุนแรงกว่า เพราะผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือมีผลกระทบรุนแรงต่อระบบหัวใจ หลอดเลือด จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้

ทั้งนี้ ไข้หวัดใหญ่ มีสายพันธุ์หลักอยู่ 3 ชนิด คือ สายพันธุ์ A , B และ C แต่สายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ที่ต้องเฝ้าระวัง ประกอบด้วย ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B เนื่องจากสายพันธุ์ C พบได้น้อย มีอาการไม่รุนแรง และไม่เกิดการแพร่ระบาดได้มากเท่ากับอีก 2 สายพันธุ์

ไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ ที่ควรรู้

สำหรับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B สามารถแบ่งออกเป็นสายพันธุ์ย่อยได้ทั้งหมด 4 สายพันธุ์ด้วยกัน ดังนี้

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A 

• ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H1N1)
• ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H3N2)

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

• ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ตระกูล Victoria
• ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ตระกูล Yamagata

ไข้หวัดใหญ่ เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร

เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อจากคนสู่คนไม่ต่างจากไข้หวัดธรรมดา โดยติดต่อผ่านการหายใจเอาละอองน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วยที่ไอหรือจามเข้าไป รวมทั้งผ่านการสัมผัสมือหรือการใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ โทรศัพท์ ของเล่น ปากกา หรือลูกบิดประตูแล้วไม่ล้างมือ เมื่อนำมือมาขยี้ตา สัมผัสจมูกและปาก ทำให้ได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย

อาการแบบไหน เข้าข่ายป่วยไข้หวัดใหญ่

ผู้ป่วยส่วนใหญ่เริ่มมีอาการหลังจากได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เข้าสู่ร่างกายประมาณ 1-2 วัน โดยอาการป่วยจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่รุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา นั่นคือมีไข้สูงเฉียบพลัน 39-40 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะ เจ็บคอ มีน้ำมูก ไอแห้ง ปวดเมื่อยตามร่างกาย บางครั้งมีอาการหนาวสั่นสะท้าน เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วย ในผู้ป่วยที่ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนอาการจะทุเลาและหายป่วยภายใน 5-7 วัน แต่ถ้ามีอาการแทรกซ้อนอาจนำไปสู่อาการที่รุนแรงขึ้นจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ 

ไข้หวัดใหญ่ มีวิธีรักษาให้หายขาดหรือไม่

หากสงสัยว่าป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ แต่มีอาการเล็กน้อย อาทิ มีไข้ต่ำ เจ็บคอ ไอ และทานอาหารได้ปกติ สามารถดูแลรักษาอาการป่วยตามอาการ ดังนี้

• นอนหลับพักผ่อนมาก ๆ ในห้องที่อากาศถ่ายเทดี และควรหยุดงานหรือหยุดเรียน เพื่อพักรักษาตัวและไม่เป็นการแพร่กระจายเชื้อ
• ดื่มน้ำให้มาก เพื่อไม่ให้มีภาวะขาดน้ำ 
• ทานอาหารที่มีประโยชน์และย่อยง่าย อาทิ  โจ๊ก ข้าวต้ม ผัก และผลไม้ 
• รักษาตามอาการ อาทิ ถ้ามีไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว และทานยาลดไข้พาราเซตามอล ห้ามใช้ยาแอสไพริน ส่วนกรณีที่มีน้ำมูกให้ทานยาลดน้ำมูก 
• หากอาการไม่ดีขึ้น ภายใน 2 วัน ควรรีบพบแพทย์

วิธีการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

รวมวิธีป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่ทุกคนสามารถทำได้

(1) หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ ทั้งผู้ที่ป่วยและไม่ป่วย

(2) หลีกเหลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น อาทิ แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น 

(3) หลีกเหลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วย  โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการไอจาม แต่ถ้ามีความจำเป็นควรปิดปาก ปิดจมูกด้วยหน้ากากอนามัย

(4) ทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเน้นทานผัก ผลไม้ นม ไข่ กินอาหารปรุงสุกใหม่และใช้ช้อนกลาง

(5) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 

(6) ดื่มน้ำสะอาด

(7) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

(8) หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น

(9) เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวและสิ่งของที่มีคนสัมผัสบ่อย ๆ 

(10) ควรหยุดงาน หยุดเรียน หยุดกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อกับคนอื่น

(11) ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ สามารถฉีดได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป จนถึงผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง ได้แก่

• เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
• ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
• หญิงมีครรภ์
• ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพและโรคประจำตัว อาทิ โรคหัวใจ โรคปอด หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นต้น

ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ เมื่อไหร่ ต้องฉีดซ้ำหรือไม่

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ถือเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยแนะนำให้ฉีดวัคซีนก่อนฤดูฝน (เดือนพฤษภาคม) หรือก่อนฤดูหนาว (เดือนตุลาคม) เนื่องจากเป็นช่วงที่เริ่มมีการระบาด นอกจากนี้ควรฉีดวัคซีนซ้ำเป็นประจำทุกปี เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้พร้อมรับมือกับเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่อาจระบาดในฤดูกาลนั้น ๆ รวมถึงช่วยลดความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิตลงได้

เห็นได้ว่าไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่สามารถเกิดได้กับทุกคน และอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ถ้าเรารู้เท่าทันและป้องกันตัวเอง ด้วยการดูแลสุขภาพร่วมกับการฉีดวัคซีน แค่นี้ไข้หวัดใหญ่ก็ไม่ใช่โรคที่น่ากลัวอีกต่อไป นอกจากนี้เราสามารถเพิ่มความสบายใจได้มากขึ้น ไม่ต้องคอยกังวลกับค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลแต่ละครั้ง โดยการทำประกันภัยสุขภาพกับโบรกเกอร์ประกันภัยที่น่าเชื่อถือและพร้อมดูแลคุณอย่าง Hugs Insurance Broker ที่ให้คุณซื้อประกันภัยออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ รวมถึงให้คำแนะนำการเลือกทำประกันภัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตตามที่ต้องการ สามารถติดต่อฮักส์ได้ที่ Facebook Line หรือ โทร 0 2975 5855

อ้างอิงข้อมูล : โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์