ไข้เลือดออก โรคร้ายที่ต้องระวังช่วงหน้าฝน
เขียนเมื่อวันที่ 12/07/2021
โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายที่ต้องระวัง! มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ
ไข้เลือดออกเป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่ต้องเฝ้าระวังโดยเฉพาะช่วงหน้าฝน เนื่องจากฝนตกทำให้มีน้ำขังตามพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งต่อมากลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย จึงเกิดการแพร่กระจายของโรคได้ง่าย จากข้อมูลกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขของไทย พบว่าผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวมักมีอายุ 10-24 ปี อีกทั้งเป็นโรคที่มีความรุนแรง รวมถึงเป็นอันตรายต่อเด็กอย่างมาก ถึงแม้ผู้ที่เคยป่วยจะมีภูมิคุ้มกัน แต่หากได้รับเชื้อไวรัสจากสายพันธุ์ที่ต่างกันกับครั้งแรก ก็มีโอกาสกลับมาเป็นโรคไข้เลือดซ้ำได้อีก ที่ร้ายแรงไปกว่านั้นคืออาการจะรุนแรงมากกว่าครั้งแรก
ยุงลายตัวเมียสาเหตุการเกิดไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกเกิดจากสาเหตุอะไร
เกิดจากเชื้อไวรัส เดงกี (Dengue) โดยมียุงลายตัวเมียเป็นพาหะนำโรค เมื่อยุงลายดูดเลือดของผู้ที่มีเชื้อไวรัสดังกล่าว เชื้อจะฝังอยู่ข้างในกระเพาะและต่อมน้ำลาย มีระยะการฝักตัวประมาณ 8-12 วัน หากยุงที่มีเชื้อไปกัดคนอื่นต่อ จะทำให้เชื้อไวรัสเดงกีเข้าสู่กระแสเลือด ก่อให้เกิดโรคไข้เลือดออกตามมา และถึงแม้จะสามารถรักษาให้หายรวมถึงมีภูมิต้านทาน แต่ถ้าได้รับเชื้อที่ต่างกันออกไปจากสายพันธุ์ครั้งแรก ก็มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีกได้เช่นกัน
สำหรับผู้ป่วยที่เสี่ยงเกิดอาการรุนแรงและพบภาวะแทรกซ้อนเป็นอันตราย มีดังนี้
- เด็กทารกและผู้สูงอายุ
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพราะอาหาร
- ผู้หญิงที่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือนหรือมีเลือดออกผิดปกติที่ช่องคลอด
- ผู้ป่วยโรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายหรือโรคจากฮีโมโกลบินผิดปกติ
- ผู้ป่วยโรคหัวใจพิการตั้งแต่กำเนิด
- ผู้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง อาทิ หอบหืด เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตวาย ตับแข็ง และโรคหัวใจขาดเลือด
- ผู้ที่ทานยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) หรือกลุ่มยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory หรือ NSAIDs)
อาการป่วยโรคไข้เลือดออก
วิธีสังเกตอาการโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกสามารถสังเกตเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง หากรู้สึกถึงความผิดปกติ อาทิ มีไข้สูง ปวดหัว รวมถึงมีจุดสีแดงตามร่างกาย ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าโรคร้ายอาจกำลังมาเยือน โดยผู้ป่วยไข้เลือดออกจะแสดงอาการเมื่อได้รับเชื้อไปประมาณ 5-8 วัน และหากมีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว
- มีไข้สูงเฉียบพลันเกิน 38 องศาเซลเซียส ประมาณ 2-7 วัน
- มีอาการคลื่นไส้อาเจียนและเบื่ออาหาร
- หน้าแดงและอาจมีจ้ำเลือดเล็ก ๆ ที่บริเวณผิวหนัง รวมถึงมีเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน และปัสสาวะอุจจาระมีเลือดปนออกมา
- มีอาการปวดท้องรุนแรงและรู้สึกเจ็บเมื่อกดลงที่ชายโครงด้านขวา
สำหรับผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกหลังจากมีไข้สูง 2-7 วัน ไข้จะเริ่มลดลง รวมถึงระบบไหลเวียนโลหิตเริ่มเป็นปกติ ความดันโลหิตและชีพจรคงที่ โดยประมาณ 2-3 วันร่างกายจะหายกลับมาเป็นปกติ ไข้ลดลง ทานอาหารได้ ผื่นแดงคันตามฝ่ามือและเท้าจะหายเองภายใน 1 สัปดาห์ ในกรณีที่อาการรุนแรงหลังจากมีไข้มาหลายวัน ผู้ป่วยจะเกิดภาวะการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว หรือกลุ่มอาการไข้เลือดออกช็อก ส่งผลให้รู้สึกกระสับกระส่าย บริเวณปลายมือปลายเท้าเย็น ปัสสาวะน้อย ความดันโลหิตต่ำ ไข้ลดลงรวดเร็ว และวัดชีพจรไม่ได้
วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออกสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย และอาจทวีความรุนแรงหากเกิดกับผู้ที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคร้ายดังกล่าวควรปฏิบัติตัวดังนี้
- ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายภายในบ้านหรือบริเวณใกล้เคียง อาทิ พื้นที่ที่มีน้ำขัง
- ปิดฝาภาชนะที่มีน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งเพราะพันธุ์ของยุงลาย
- ปรับเปลี่ยนพื้นที่ภายในบ้านให้สะอาดและไม่มีน้ำขัง
- เลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันยุงกัด อาทิ สเปรย์กันยุง
- สำหรับผู้ที่อายุมากกว่า 9 ปี หรือน้อยกว่า 45 ปี รวมถึงเคยมีประวัติเป็นไข้เลือดออก ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกสายพันธุ์อื่นร่วมด้วย
อย่ามองว่าไข้เลือดออกเป็นโรคที่ไกลตัวอีกต่อไป เพราะทุกคนล้วนมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่ดูแลสุขภาพ และถ้าร่างกายมีความผิดปกติดังข้างต้นที่กล่าวมา ควรรีบพบแพทย์เพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดอาการรุนแรง หรือมีภาวะแทรกซ้อนตามมา และเพื่อเป็นหลักประกันยามเจ็บป่วยในอนาคต ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาตัว ฮักส์มีประกันภัยโรคไข้เลือดออกพร้อมให้ความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ เบี้ยเริ่มต้นเพียง 290 บาท / ปี ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก สูงสุด 50,000 บาท* นอกจากนี้ยังมีแผนประกันภัยสุขภาพที่น่าสนใจจากหลายบริษัทประกันชั้นนำ เบี้ยเริ้มต้นเพียง 2,160 บาท / ปี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2975 5855 ยินดีให้คำปรึกษาและแนะนำแผนประกันภัยที่เหมาะสมแก่คุณ
อ้างอิงข้อมูล : bumrungrad, thonburihospital,